รีวิวเกมส์ To The Moon และ Finding Paradise

ผมเขียนรีวิวนี้หลังจากที่เล่น Finding Paradise จบเมื่อคืน … มีความคิดและอะไรหลายอย่างที่ผมอยากจะเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือมากๆ เอาเป็นว่า เดี๋ยวเราจะมาเริ่มต้นกันที่ตัวเกมส์ก่อน แล้วผมจะค่อยๆ แทรกความคิดความรู้สึกที่มีต่อเกมส์นี้นะครับ

ทั้งสองเกมส์เล่าถึงบริษัทแห่งหนึ่งที่ให้บริการมอบความปรารถนาครั้งสุดท่ายในชีวิตให้แก่ผู้ป่วยใกล้ตาย ดำเนินเรื่องโดยนักวิทยาศาสตร์ 2 คน ผู้มีหน้าที่เดินทางไปหาผู้ป่วย และใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อเดินทางเข้าไปในความทรงจำของผู้ป่วย ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิต และทำการเปลี่ยนแปลงความทรงจำ เพื่อมอบความปรารถนาที่พวกเขาต้องการ ก่อนที่พวกเขาเหล่านั้นจะจากไป

เกมส์ To The Moon เปิดตัวในปี 2014 และ Finding Paradise เปิดตัวในปี 2017 ตัวเกมส์สร้างด้วยโปรแกรม PRG Maker รูปแบบการเล่นเหมือนเกมส์ RPG ทั่วไป (เดินไปสถานที่ต่างๆ ตามเรื่องราว คุยกับ NPC ทำเควสไปเรื่อยๆ) แต่จุดเด่นของเกมส์นี้อยู่ที่เนื้อเรื่องครับ (ดีขนาดที่ว่า ถ้าเป็นภาพยนตร์ต้องได้เข้าชิงรางวัลออสการ์แน่นอนครับ)

เสน่ห์ของทั้ง To The Moon และ Finding Paradise คือการที่เราจะได้เดินทางไปกับชีวิตของคนคนหนึ่ง ตั้งแต่เกิด วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน แต่งงาน มีลูก เห็นลูกเติบใหญ่ วัยเกษียณ วัยแก่ และช่วงสุดท้ายของชีวิต ผ่านกลวิธีเล่าเรื่องที่แยบยลและมีสีสันมากๆ

เรื่องราวของชีวิตคนคนหนึ่ง ย่อมมีทั้งความสุข ความทุกข์ รอยยิ้ม น้ำตา เสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ ปะปนกันไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่สุดท้ายเมื่อชิวิตเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด เรารู้สึกอย่างไรกับชิวิตที่ผ่านมา?

To The Moon เล่าถึงคุณตาคนหนึ่ง ที่มีความฝันว่าอยากจะไปเหยียบดวงจันทร์สักครั้งในชีวิต – อีวาและนีลล์ (2 ตัวละครหลัก) จึงเดินทางไปหาคุณตาเพื่อมอบความปรารถนานี้ ทั้งสองเข้าไปในส่วนลึกในความทรงจำเพื่อค้นหาว่า ทำไมคุณตาถึงอยากจะไปดวงจันทร์? เมื่อทั้งสองเดินทางเข้าไปในความทรงจำของคุณตา ทั้งสองกลับพบเรื่องราวสุดแสนประทับใจและเรื่องราวชวยเรียกน้ำตามากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าสุดท้ายทั้งสองก็สามารถมอบความฝันอันสุดแสนพิเศษให้กับคุณตาได้สำเร็จครับ (แต่เรื่องราวระหว่างทางสุดยอดเกินกว่าที่จะบรรยายเป็นตัวหนังสือได้ครับ)

ข้อคิดหลักที่ผมได้รับจากเกมส์นี้คือ ขณะที่เรายังมีโอกาสในชีวิตนี้ ตอนนี้ เวลานี้ เราได้ทำตามความฝันและความปรารถนาในชีวิตของเราแล้วหรือยัง? อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เดินตามความฝันของเราอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่ว่าในวาระสุดท้ายของชีวิต เราจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง (ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว มันจะไม่สำเร็จ แต่ถึงตอนนั้นเราก็คงไม่เสียดาย เพราะได้พยายามเต็มที่แล้วจริงๆ)

Finding Paradise เล่าถึงคุณปู่คนหนึ่ง ที่ในชีวิตมีเพรียบพร้อมทุกอย่างแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ยังขาดหายไปอยู่ – อีวาและนีลล์ (2 ตัวละครหลัก) จึงเดินทางไปหาคุณปู่เพื่อค้นหาความปรารถนาที่อาจซ่อนอยู่ เมื่อทั้งสองเดินทางเข้าไปในความทรงจำของคุณปู่ ทั้งสองกลับพบเรื่องราวประหลาดในความทรงจำของคุณปู่ และทั้งสองก็พบว่าคุณปู่ขอให้อย่าเปลี่ยนสิ่งต่างๆ อ้าว! แล้วอะไรคือความปรารถนาของคุณปู่ละ พอเล่นไปเรื่อยๆ จนถึงตอนเฉลยเรื่องราวทั้งหมด ผมน้ำตาร่วงในตอนจบเลยครับ (ต่างจาก To The Moon ที่จะค่อยๆ น้ำตาซึมเรื่อยๆ)

ข้อคิดหลักที่ผมได้รับจากเกมส์นี้คือ สุดท้ายแล้วความสุขในชีวิตของเราอยู่ที่ว่า เราพอใจในชีวิตของเรามากน้อยแค่ไหน ถึงชีวิตของเราจะไม่ได้ยิ่งใหญ่จะไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้าเราเห็นคุณค่าในชีวิตตนเองและมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ในทุกๆ วัน นั่นคือชีวิตที่มีความสุขแล้วครับ (ลึกซึ้งกินใจมากๆ)

.

ทั้งหมดนี้ก็เป็นความรู้สึกและความคิดเห็นที่ผมมีต่อเกมส์ทั้งสองนะครับ แนะนำว่าถ้าใครอยากหาเกมส์เนื้อเรื่องซึ้งกินใจสักเกมส์ หรือใครที่กำลังตามหาความหมายของชีวิตอยู่ ผมแนะนำ 2 เกมส์นี้เลยครับ รับรองว่าจะเป็น 6 x 2 ชั่วโมงที่คุ้มค่าแน่นอนครับ 😊

ปล. Soundtrack เกมส์นี้ก็ไพเราะมากครับ ไปหาฟังกันได้ที่ Spotify ครับ

Finding Paradise Soundtrack
Finding Paradise Soundtrack

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *